วิถีชีวิตของคนไทยแต่ดั้งเดิม นิยมปลูกพืชผักสวนครัวไว้ประจำบ้าน เมื่อถึงเวลาต้องต้มยำทำแกง เพียงเดินเข้าสวนครัวหลังบ้านก็ได้วัตถุดิบและเครื่องปรุงอันสดใหม่จากต้น
หากคิดย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นภาพของมะระถูกปลูกไว้ประจำสวนครัวเกือบทุกครัวเรือน หรือไม่เช่นนั้นเราจะพบเจอมะระได้จากเมนูอาหารไทยที่ใช้มะระเป็นวัตถุดิบนำมาประกอบอาหารอย่างมากมาย เพราะสำหรับคนไทยแล้ว นอกจากรสชาติความอร่อยแล้ว ยังเชื่อเรื่องสรรพคุณทางยาของอาหารที่บริโภคอีกด้วย
ดังเช่นคำพังพยที่กล่าวว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”
จากการค้นคว้าข้อมูลทั่วไปพบว่า มะระ เป็นพืชไม้เลื้อยในตระกูลแตงที่มีชื่อว่า Cucurbitaceae นิยมปลูกเพื่อนำผลและยอดมาใช้ในการบริโภค มีรสชาติขม คนไทยส่วนใหญ่นิยมปลูกมะระไว้ประจำสวนครัวหลังบ้าน มะระเป็นพืชล้มลุกที่ปลูกขึ้ง่าย เนื่องจากชอบดินที่มีความร่วนซุย และพื้นที่อากาศร้อนมีแดดแรง ดังนั้นในบ้านเราจึงมีมะระไว้คอยบริโภคกันตลอดทั้งปี
สำหรับในบ้านเรามะระที่คุ้นเคยกันดีมี 2 ชนิด คือ มะระจีนที่มีชื่อสามัญว่า Chinese Bitter Cucumber เชื่อว่ามีการนำเข้าสายพันธุ์มาพร้อมกับชาวจีนที่อพยพเข้ามาทำการค้าในเมืองไทย ผลมีลักษณะอวบอ้วน ลูกโตสีเขียวอ่อน แต่มีรสชาติขมน้อยกว่ามะระขี้นก ขนาดของผลมะระมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 เซนติเมตร เนื้อหนา ผิวขรุขระ เมล็ดมีลักษณะแบนสีเหลืองอ่อน เนื้อด้านในของผลมีลักษณะฟ่าม (ลักษณะของผลไม้หรือผักที่แก่จัด ภายในเนื้อมีความโปร่ง ไม่แน่น) เมื่อผลแก่จัดเนื้อด้านในจะเปลี่ยนเป้นสีเหลืองและเมล็ดสีแดง
อีกพันธุ์หนึ่งที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี คือ มะระขี้นก มีชื่อสามัญว่า Native Bitter Gourd ถือเป็นผักพื้นบ้านของไทยเลยก็ว่าได้ ลักษณะคล้ายกับกระสวยขนาดเล็ก ผิวเปลือกขรุขระขนาดของผลมีความยาว 5-7 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางผล 2-4 เซนติเมตร
ผลอ่อนจะมีสีเขียวเข้ม แต่เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดง ปลายผลจะแตกออกเป็นสามแฉก ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมะระขี้นกนั้นก็เพราะว่า เป็นพืชที่บรรดานกทั้งหลายนิยมมาจิกกินเพื่อเป็นอาหาร แล้วถ่ายไว้ในที่ต่างๆ เราสามารถสังเกตได้ว่าบริเวณที่มีมะระขี้นกเจริญเติบโตมักเป็นที่อยู่ของนกจำนวนมาก
ทำอย่างไรไม่ให้มะระขม
หลายคนมักประสบปัญหากับเรื่องรสชาติของมะระที่ขมจนสุดจะทน แต่ว่าเรามีวิธีง่ายๆแก้ปัญหาความขมของมะระมาฝากแฟนเพจ เพียงแค่นำมะระที่ล้างทำความสะอาดและคว้านไส้ออกเรียบร้อยแล้ว แช่ในน้ำสะอาดที่ละลายเกลือจนเค็มสนิท แช่ทิ้งไว้นานประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจนหมดความเค็ม เพียงเท่านี้ เราก็สามารถนำมะระไปประกอบอาหารโดยปราศจากความขมแล้วล่ะครับ
ประโยชน์อันมากคุณค่าจากมะระ
หวานเป็นลม ขมเป็นยา นับว่าเป็นสโลแกนเฉพาะตัวของมะระเลยก็ว่าได้ แต่ถึงแม้ว่ารสชาติจะขมสุดบรรยาย แต่หากเรารับประทานเข้าไป ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์มากมากต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการช่วยให้ผิวพรรณสดใส เจริญอาหาร บำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง และป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ส่วนอื่นๆของเจ้ามะระก็ยังมีประโยชน์ต่างๆกันไป มาดูกันครับว่าส่วนไหนช่วยเรื่องอะไรบ้าง...
ราก
สามารถนำมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเพื่อเป็นยาลดไข้ มีสรรพคุณของการบำรุงธาตุ สมานแผล แก้โรคริดสีดวงทวาร บรรเทาอาการอักเสบได้
ใบ
นิยมนำมาคั้นดื่มเป็นยา สามารถทำให้อาเจียนและลดอาการท่อน้ำดีอักเสบได้ นอกจากนี้ชาวบ้านทางภาคอีสานของไทย นิยมนำใบมะระมาประกอบอาหารประเภทต่างๆไม่ว่าจะเป็นแกงป่า แกงเห็ดแบบพื้นบ้าน หรือนำมาลวกจิ้มน้ำพริก เพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อมของอาหารมากขึ้น
ดอก
นำมาตากแดดให้แห้งใช้ชงดื่ม ลดอาการหอบหืด
ผล
มีส่วนช่วยในการเจริญอาหาร บำรุงร่างกายขับพยาธิ แก้ตับและม้ามอักเสบ หรือจะนำมาคั้นน้ำดื่มรับประทานไม่เกินสับปดาห์ละ 1 แก้ว เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดก็ได้
เมล็ด
ใช้เป็นยาขับพยาธิตัวกลม
ได้ทราบถึงประโยชน์ของมะระกันแล้ว อย่าเพิ่งขยาดรสขมกันนะครับ นึกแล้วอยากกินมะระยัดไส้หมูขึ้นมาเลยทีเดียว
ติดตามบทความเพื่อสุขภาพดีๆ เป็นประจำได้ที่นี่ สวัสดีครับ